เคยไหมครับที่ได้รับใบรายงานผลวิเคราะห์คุณภาพน้ำมัน หรือที่เรียกกันว่า COA (Certificate of Analysis) มาแล้วเห็นแต่ตัวเลขเต็มหน้ากระดาษ จนไม่แน่ใจว่าควรโฟกัสจุดไหน? ผมเข้าใจดีครับว่าในมุมของนักจัดซื้อ การอ่านผล Lab คุณภาพน้ำมัน อาจดูเป็นเรื่องเทคนิคที่ซับซ้อนและไกลตัว แต่ความจริงแล้ว หากคุณดูค่าเหล่านี้เป็นเพียงไม่กี่จุด คุณจะช่วยบริษัทประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงและรักษาเครื่องจักรได้มหาศาลเลยครับ วันนี้ผมจะมาแชร์เทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้ด้วยตัวเองครับ
ทำไมนักจัดซื้อต้องอ่านผลวิเคราะห์คุณภาพน้ำมันเป็น
ผมมักจะบอกกับพาร์ตเนอร์เสมอครับว่า หน้าที่ของนักจัดซื้อไม่ใช่แค่การหาของราคาถูกที่สุด แต่คือการหา “ความคุ้มค่า” ที่สุด การอ่านผล Lab เป็นเสมือนอาวุธสำคัญที่จะช่วยให้คุณตรวจสอบได้ว่า น้ำมันเชื้อเพลิงที่คุณสั่งซื้อมานั้น มีคุณภาพตรงตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ครับ
ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าเราซื้อน้ำมันเตาหรือน้ำมันทดแทนในราคาที่ถูกลงเล็กน้อย แต่ผล Lab ระบุว่าค่าความร้อนต่ำกว่าเกณฑ์ หรือมีปริมาณน้ำปนเปื้อนสูง นั่นหมายความว่าโรงงานต้องใช้น้ำมันปริมาณมากขึ้นเพื่อให้ได้ความร้อนเท่าเดิม สรุปแล้วอาจจะกลายเป็นแพงกว่าเดิมเสียอีกครับ การดูผลวิเคราะห์เป็นจึงช่วยให้คุณควบคุม Cost Performance ได้อย่างแท้จริง
4 ค่าสำคัญในผล Lab ที่บอกว่าน้ำมันนั้นคุ้มค่าหรือไม่
ในใบรายงานผลวิเคราะห์จะมีพารามิเตอร์มากมาย แต่สำหรับฝ่ายจัดซื้อที่ต้องการดูภาพรวมความคุ้มค่าและความปลอดภัย ผมแนะนำให้โฟกัสที่ 4 ค่าหลักนี้ครับ
1. ค่าความร้อน (Calorific Value / Heating Value)
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดครับ เพราะสิ่งที่เราต้องการจากการซื้อเชื้อเพลิงคือ “พลังงานความร้อน” ไม่ใช่แค่ปริมาณน้ำมัน ค่านี้จะบอกว่าน้ำมัน 1 หน่วย (เช่น กิโลกรัม) ให้พลังงานความร้อนออกมาเท่าไหร่
ผมแนะนำให้ดูค่า Gross Calorific Value เป็นหลักครับ ยิ่งค่านี้สูง แสดงว่าน้ำมันนั้นให้พลังงานดี เผาไหม้แล้วได้ความร้อนเต็มเม็ดเต็มหน่วย หากเปรียบเทียบราคาเท่ากัน เจ้าที่มีค่าความร้อนสูงกว่าย่อมคุ้มค่ากว่าครับ
2. ปริมาณน้ำ (Water Content)
น้ำเป็นศัตรูของเชื้อเพลิงครับ ในผล Lab จะระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ (% vol หรือ % wt) ค่านี้ “ยิ่งน้อย ยิ่งดี” ครับ เพราะถ้ามีน้ำปนเปื้อนมาเยอะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ:
- เราจ่ายเงินซื้อน้ำมาในราคาน้ำมัน
- หัวพ่นไฟ (Burner) อาจสะดุดหรือดับ
- เปลืองพลังงานในการระเหยน้ำทิ้งระหว่างการเผาไหม้
3. ความหนืด (Viscosity)
ค่าความหนืดบอกถึงความข้นหรือความเหลวของน้ำมันครับ เรื่องนี้สำคัญต่อระบบการส่งจ่ายน้ำมันในโรงงาน ถ้าหนืดเกินไป ปั๊มจะทำงานหนัก หรือต้องใช้ความร้อนอุ่นน้ำมันสูงขึ้นเพื่อให้ไหลเข้าหัวฉีดได้ แต่ถ้าเหลวเกินไป ก็อาจควบคุมการฉีดฝอยละอองได้ยาก
ผมแนะนำให้คุณลองสอบถามวิศวกรหน้างานของท่านดูครับว่า เครื่องจักรของเรารับความหนืดได้ในช่วงไหน แล้วใช้ค่านั้นเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการตรวจรับของครับ
4. จุดวาบไฟ (Flash Point)
ค่านี้เกี่ยวข้องกับ “ความปลอดภัย” ในการจัดเก็บโดยตรงครับ จุดวาบไฟคืออุณหภูมิต่ำสุดที่ไอระเหยของน้ำมันจะติดไฟได้เมื่อมีประกายไฟ
หากผล Lab โชว์ว่าจุดวาบไฟต่ำเกินไป (ต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัยของโรงงาน) อาจเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยในถังเก็บได้ง่ายครับ ดังนั้น ค่านี้ต้อง “ไม่ต่ำกว่า” เกณฑ์ที่กฎหมายหรือฝ่ายความปลอดภัย (จป.) ของท่านกำหนดไว้ครับ
ควรทำอย่างไรเมื่อผลทดสอบไม่ตรงตามสเปก
หากคุณได้รับใบรายงานผล แล้วพบว่าตัวเลขบางอย่างผิดปกติ อย่าเพิ่งตกใจครับ ผมมีขั้นตอนแนะนำดังนี้:
- ตรวจสอบวิธีการเก็บตัวอย่าง: บ่อยครั้งที่ผลเพี้ยนเพราะภาชนะเก็บไม่สะอาด หรือจุดที่เก็บตัวอย่างมีการตกตะกอนครับ
- เทียบกับประวัติย้อนหลัง: ลองดูว่าล็อตก่อนหน้านี้ค่าเป็นอย่างไร หากกระโดดไปจากเดิมมาก อาจเกิดความผิดพลาดในการผลิตหรือขนส่ง
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือ Supplier: ส่งผลนั้นให้ผู้ขายดูครับ Supplier ที่ดีและจริงใจอย่าง ST SMART ENERGY จะพร้อมอธิบายสาเหตุและแนวทางแก้ไข หรือทำการตรวจสอบซ้ำให้ทันทีครับ
การมีความรู้พื้นฐานในการอ่านผล Lab คุณภาพน้ำมัน ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องการต่อรองราคา แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจว่าโรงงานของคุณจะได้รับเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัย และคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปครับ ผมหวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยให้งานจัดซื้อของคุณง่ายและเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้นครับ
เชื้อเพลิงทดแทนสำหรับโรงงานของคุณ ปรึกษาฟรี โทร 095-926-9984 | 02-922-2270 | st.smartenergy@gmail.com