เวลาเลือกซื้อเชื้อเพลิงเข้าโรงงาน คุณพิจารณาจากอะไรเป็นอันดับแรกครับ ราคาต่อลิตรหรือราคาต่อตันใช่ไหมครับ ถ้าคำตอบคือใช่ ผมอยากชวนให้คุณหยุดคิดสักนิด เพราะความจริงแล้ว ตัวเลขที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ราคาหน้าตั๋ว แต่เป็น ค่าความร้อนเชื้อเพลิง (Calorific Value) ครับ การมองข้ามค่านี้ไป เปรียบเสมือนการซื้อของที่ดูถูกแต่ใช้งานได้ไม่นาน สุดท้ายอาจกลายเป็นว่าต้นทุนการผลิตของคุณสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว วันนี้ผมจะมาอธิบายให้ฟังแบบเข้าใจง่ายว่าทำไมค่าความร้อนถึงเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการพลังงานครับ
ค่าความร้อนเชื้อเพลิง คืออะไรในมุมมองของคนทำงาน
อธิบายแบบภาษาชาวบ้านที่ไม่ต้องเปิดตำราวิชาการ ค่าความร้อนเชื้อเพลิง ก็คือปริมาณพลังงานความร้อนที่ได้ออกมา เมื่อเรานำเชื้อเพลิงนั้นจำนวน 1 หน่วย (เช่น 1 กิโลกรัม หรือ 1 ลิตร) ไปเผาไหม้จนหมดครับ ยิ่งค่านี้สูง แปลว่าเชื้อเพลิงนั้นมี “เนื้อพลังงาน” อัดแน่นอยู่มาก เผานิดเดียวก็ได้ความร้อนมหาศาล
ในทางเทคนิค เรามักจะเห็นตัวเลขนี้ในใบรับรองผลการวิเคราะห์ (COA) ซึ่งหน่วยที่ใช้กันบ่อยๆ ก็จะเป็น MJ/kg (เมกะจูลต่อกิโลกรัม) หรือ kcal/kg (กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม) ครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ระวังคือ ค่าความร้อนมักจะถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ ซึ่งมักสร้างความสับสนให้ผู้ซื้ออยู่เสมอครับ
1. ค่าความร้อนบนฐานรวม (Gross Calorific Value – GCV)
ค่านี้คือพลังงานทั้งหมดที่ได้จากการเผาไหม้ รวมถึงความร้อนที่แฝงอยู่ในไอน้ำที่เกิดจากการเผาไหม้ด้วย ตัวเลขนี้มักจะดูสูงและสวยหรูครับ แต่ในทางปฏิบัติ หม้อไอน้ำทั่วไปมักไม่ได้ดึงความร้อนจากไอน้ำส่วนนี้มาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด
2. ค่าความร้อนบนฐานสุทธิ (Net Calorific Value – NCV)
หรือบางครั้งเรียกว่า Lower Heating Value (LHV) ค่านี้คือพลังงานที่เรานำไปใช้ต้มน้ำได้จริงๆ หลังจากหักลบความร้อนที่สูญเสียไปกับไอน้ำแล้ว สำหรับผม ในฐานะคนดูแลระบบ ผมแนะนำให้ดูค่านี้เป็นหลักครับ เพราะมันสะท้อนความเป็นจริงในการทำงานของเครื่องจักรเรามากที่สุด
ทำไมผมถึงบอกว่าค่าความร้อนสำคัญกว่าราคาขาย
หลายครั้งที่ผมเห็นฝ่ายจัดซื้อดีใจที่ได้เชื้อเพลิงราคาถูกกว่าเดิม 10-20% แต่พอฝ่ายวิศวกรรมนำมาใช้จริง กลับพบว่าต้องเติมน้ำมันหรือป้อนเชื้อเพลิงแข็งมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัวเพื่อให้ได้แรงดันไอน้ำเท่าเดิม นี่แหละครับคือกับดัก
สมมติว่าคุณซื้อเชื้อเพลิง A ราคาถูก แต่มีค่าความร้อนต่ำ คุณจะต้องใช้ปริมาณเชื้อเพลิง A มากกว่าเชื้อเพลิง B (ที่ราคาแพงกว่าแต่ค่าความร้อนสูง) เพื่อให้ได้งานเท่ากัน เมื่อคำนวณกลับมาเป็น “ต้นทุนต่อหน่วยความร้อน” (Cost per Heat Unit) คุณอาจจะพบว่าของถูกกลับกลายเป็นของแพงทันที แถมยังต้องเสียค่าขนส่งเพิ่มขึ้นเพราะต้องขนปริมาณมากขึ้นอีกด้วยครับ
ผลกระทบเมื่อเลือกเชื้อเพลิงโดยไม่ดูค่าความร้อน
จากประสบการณ์กว่า 30 ปีของผม การละเลยตัวเลขนี้ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องเงินในกระเป๋า แต่ยังกระทบไปถึงระบบเครื่องจักรและการจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงงานด้วยครับ
ประสิทธิภาพหม้อไอน้ำ (Boiler Efficiency) ลดลง
เครื่องจักรถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีที่สุดในช่วงค่าความร้อนหนึ่งๆ หากคุณนำเชื้อเพลิงที่ค่าความร้อนต่ำเกินไปมาใช้ หัวพ่นไฟหรือห้องเผาไหม้อาจทำอุณหภูมิไม่ได้ตามเป้า ทำให้ระบบต้องเร่งการทำงาน ส่งผลให้เครื่องจักรสึกหรอเร็วขึ้นครับ
ปัญหาการเผาไหม้และมลพิษ
เชื้อเพลิงที่มีค่าความร้อนต่ำ มักจะมีองค์ประกอบอื่นๆ ปนอยู่มาก เช่น ความชื้น หรือเถ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือตัวการขัดขวางการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ทำให้เกิดเขม่าควันดำ และอาจทำให้ค่ามลพิษทางอากาศเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดได้ครับ ผมเจอปัญหานี้บ่อยมากในโรงงานที่พยายามลดต้นทุนด้วยการเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงราคาถูกโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อน
วิธีพิจารณาค่าความร้อนก่อนตัดสินใจซื้อ
ผมมีคำแนะนำง่ายๆ ที่อยากให้คุณลองนำไปปรับใช้ในการคัดเลือกซัพพลายเออร์หรือเชื้อเพลิงล็อตใหม่ครับ
- ขอดู COA เสมอ: อย่าเชื่อแค่คำบอกเล่าครับ ต้องมีผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่เชื่อถือได้ยืนยันตัวเลขค่าความร้อน
- เปรียบเทียบที่ค่า NCV: ให้ดูที่ค่าความร้อนสุทธิ (Net Calorific Value) เป็นหลัก เพราะนั่นคือเนื้อๆ เน้นๆ ที่คุณจะได้ใช้
- คำนวณราคาต่อหน่วยความร้อน: ลองหาราคาซื้อด้วยค่าความร้อนดูครับ แล้วเปรียบเทียบกันว่าเจ้าไหนให้ราคาต่อหน่วยพลังงานต่ำที่สุด นั่นคือความคุ้มค่าที่แท้จริง
- ทดสอบหน้างานจริง: ตัวเลขในกระดาษสำคัญ แต่การทดลองใช้จริง (Trial Run) เพื่อดูว่าเครื่องจักรเรา “ชอบ” เชื้อเพลิงนี้ไหม ก็สำคัญไม่แพ้กันครับ
การเลือกเชื้อเพลิงไม่ใช่แค่การซื้อมาเผาให้หมดไป แต่เป็นการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการผลิตให้ลื่นไหลและมีต้นทุนที่เหมาะสมที่สุดครับ หากคุณเริ่มหันมาใส่ใจกับ “ค่าความร้อนเชื้อเพลิง” ผมมั่นใจว่าคุณจะเห็นช่องทางในการประหยัดพลังงานที่ซ่อนอยู่แน่นอนครับ
เชื้อเพลิงทดแทนสำหรับโรงงานของคุณ ปรึกษาฟรี โทร 095-926-9984 | 02-922-2270 | st.smartenergy@gmail.com